วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

บทที่ 10 โน๊ตบุ๊ก

ทที่ 10 โน้ตบุ๊ก (Notebook)


สาระสำคัญ
  
 โน้ตบุ๊ก (Notebook) คือเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาชนิดหนึ่งที่สามารถพกพาไปในที่ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก แต่จะมีราคาสูงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์แบบซีพีเมื่อเปรียบเทียบรุ่นและสรรถนะการทำงานที่เท่ากัน ในปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊กได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากสรรถนะการทำงานที่สูงขึ้นประกอบกับราคาที่ถูกลง


เรื่องที่จะศึกษา
- คอมพิวเตอร์
- วัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่อง
- น้ำหนักของโน้ตบุ๊ก
- ส่วนประกอบ
- ซีพียู
- อุปกรณ์ชี้
- พอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอก
- ระบบเสียงและลำโพง
- แบตเตอรี่
- ระบบระบายความร้อน
- ไดร์ฟเก็บข้อมูล

จุดประสงค์การเรียนรู้
  1. บอกลักษณะของคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊กได้
  2. อธิบายรายละเอียดวัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่อง
  3. เขียนน้ำหนักของโน้ตบุ๊ก
  4. เขียนส่วนประกอบต่าง ๆ ของโน้ตบุ๊กได้
  5. เขียนลักษณะของซีพียู
  6. ใช้อุปกรณ์ชี้แบบต่าง ๆ ได้
  7. วาดรูปพอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกได้
  8. บอกลักษณะระบบเสียงและลำโพงของโน้ตบุ๊กได้
  9. เขียนรายละเอียดของแบตเตอรี่ได้
  10. ใช้งานไดร์ฟเ็บข้อมูลแบบต่าง ๆ ได้

โน้ตบุ๊ค (notebook or laptop)

โน้ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา ในปัจจุบันมีขนาดพอๆกับสมุดที่ทำด้วยกระดาษ

เน็ตบุ๊ค (netbook or laptop)

เน็ตบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์และเล็กกว่าโน้ตบุ๊ค ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ มีขนาดเล็ก และน้ำหนักเบา

อัลตร้าบุ๊ค (Ultrabook)

อัลตร้าบุ๊ค คือ คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าไมโครคอมพิวเตอร์และมีขนาดเท่ากับโน้ตบุ๊ค ถูกออกแบบไว้เพื่อนำติดตัวไปใช้ตามที่ต่างๆ และน้ำหนักเบากว่าโน้ตบุ๊ค และเน้นความสวยงาม ทันสมัย แปลกใหม่

แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ (tablet computer)

แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า แท็บเล็ต คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้ในขณะเคลื่อนที่ได้ ขนาดกลางและใช้หน้าจอสัมผัสในการทำงานเป็นอันดับแรก มีคีย์บอร์ดเสมือนจริงหรือปากกาดิจิตอลในการใช้งานแทนที่แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด และมีความหมายครอบคลุมถึงโน๊คบุ๊คแบบ convertible ที่มีหน้าจอแบบสัมผัสและมีแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดติดมาด้วยไม่ว่าจะเป็นแบบหมุนหรือแบบสไลด์ก็ตาม [21]

ตัวอย่างประโยชน์ของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์มีประโยชน์กับเรามากมาย เช่น
  1. การใช้งานภาครัฐ งานทะเบียนราษฎร์ของรัฐบาล เช่น การแจ้งเกิด ตาย ย้ายที่อยู่ การทำบัตรประจำตัวประชาชน งานภาษี เช่น ยื่นแบบประเมินภาษีภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต เก็บทะเบียนประวัติผู้เสียภาษี ตรวจสอบการเสียภาษี
  2. งานสายการบิน การสำรองที่นั่งผู้โดยสาร การลดงานเอกสาร
  3. ทางด้านการศึกษา สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเรียนออนไลน์ให้กับผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล
  4. ธุรกิจการนำเข้าสินค้าและส่งออก การทำธุรกิจแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
  5. ธุรกิจธนาคาร ช่วยด้านงานข้อมูลธนาคาร รับ-จ่ายเงิน เก็บประวัติลูกค้า ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ
  6. วิทยาศาสตร์และการแพทย์ การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการรักษาของคนไข้ วิจัย คำนวณ และ การจำลองแบบ
  7. งานสถาปนิก ช่วยออกแบบ เขียนแบบ หรือทำแบบจำลองสามมิติ
  8. งานภาพยนตร์ การ์ตูน แอนิเมชัน ช่วยสร้างตัวการ์ตูนเคลื่อนไหว ออกแบบตัวการ์ตูน จำลองตัวการ์ตูนสามมิติ การตัดต่อภาพยนตร์
  9. งานด้านสถิติ ช่วยเก็บบันทึกข้อมูล วิเคราะห์ จำลองแบบข้อมูล และการเผยแพร่ข้อมูล
  10. ด้านนันทนาการ ช่วยให้ความบันเทิง ดูหนัง ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ เล่นเกม

การใช้งานโน้ตบุ๊คก็ไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไป เพียงแต่ขนาดที่เล็กลงด้วยอุปกรณ์ถูกจัดวางอย่างแออัด การพกพาที่อาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน อาจร่วงหล่น เราจึงต้องใส่ใจดูแลมากเป็นพิเศษ เพราะโน้ตบุ๊คส่วนใหญ่ราคาแพง อุปกรณ์ก็แพงกว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

โน๊ตบุ๊คแต่ละเครื่องการใช้งานก็ไม่ต่างกันนัก หากใช้ระบบปฏิบัติการแบบเดียวกัน เช่น Windows 7 หรือ Windows 8 การทำงานรวมๆ ก็ไม่ต่างกันเลย อาจจะมีบ้างสำหรับโน๊ตบุ๊คบางยี่ห้อเท่านั้น ที่มีการสร้างโปรแกรมหรือเมนูพิเศษสำหรับรุ่นนั้นๆ โดยเฉพาะ ก็ต้องศึกษาแยกย่อยตามรุ่นตามยี่ห้อ การใช้งานโน้ตบุ๊คขั้นพื้นฐานจึงอาจจะมีข้อปลีกย่อยต่างกันออกไป
ตัวอย่างการใช้งานโน้ตบุ๊คขั้นพื้นฐาน
สำรวจโน๊ตบุ๊คของเราก่อน
ก่อนอื่นก็ต้องสำรวจโน๊ตบุ๊คของเราก่อนว่า มีส่วนประกอบโดยรอบอะไรบ้าง เช่น ขนาดหน้าจอ พอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ มีอะไรบ้าง ข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ สามารถค้นหาได้ไม่ยากจากอินเตอร์เน็ต โดยเข้า Google แล้วพิมพ์ชื่อรุ่น + รีวิวหรือ ชื่อรุ่น+ทดสอบ กรณีต้องการซื้อโน้ตบุ๊ครุ่นนั้นๆ ก็เช่นกัน พิมพ์ ชื่อรุ่น+ปัญหา เป็นต้น หรือต้องการค้นหาวิดีโอรีวิวการใช้งาน ก็ไปที่ Youtube พิมพ์ ชื่อรุ่น + รีวิว ทั้งหมดนี้ก็เป็นการค้นหาข้อมูลแบบง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราได้รู้จักโน้ตบุ๊คในครอบครองของเรามากยิ่งขึ้น
การเปิดปิดเครื่อง 
ปกติอุปกรณ์อีเล็คทรอนิคจะมีปุ่มปิดหรือเปิดเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่แล้ว บางรุ่นอาจจะเป็นปุ่มกลมๆ หรือสี่เหลี่ยม การเปิดปิดเครื่องอย่ากดปุ่ม Power แรงไปนัก กดเบาๆ ก็พอ บางคนกดแบบขยี้ บี้แรงๆไม่นานก็พัง โน้ตบุ๊คบางรุ่นปุ่ม Power ไม่ค่อยทน ต้องหาข้อมูลก่อนซื้อให้ดี
พอร์ตต่างๆ รอบเครื่อง
สำหรับโน้ตบุ๊คก็จะมีพอร์ตต่างๆ อาจจะมีอยู่ด้านหน้า ด้านข้างหรือด้านหลัง เพื่อเอาไว้สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ สำหรับพอร์ด USB ซึ่งเป็นพอร์ตที่มีการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ค่อนข้างบ่อย แนะนำให้หาพอร์ตขยายไว้ต่อผ่านพอร์ตนี้อีกที เพื่อถนอมอายุการใช้งาน
การจัดการกับความร้อนในโน้ตบุ๊ค
เพื่อถนอมอายุการใช้งานโน้ตบุ๊คให้ใช้งานได้นานๆ ก็ควรจะหาพัดลมช่วยระบายความร้อนมาไว้ด้านล่างเครื่อง หรือจะเอาพัมเป่าเลยก็ตามสะดวก หากเน้นใช้งานต่อเนื่องนานๆ ทั้งนี้อาจจะหมั่นสังเกตุอาการที่บ่งบอกว่า โน้ตบุ๊คร้อนไปแล้วนะ เช่น เล่นๆ อยู่แล้วเกิดการแฮงค์ หรือบูตเครื่องใหม่
ปกป้องโน้ตบุ๊คจากความชื้น
นอกจากความร้อนแล้วความชื้นก็เป็นตัวการที่ทำให้โน๊ตบุ๊คเกิดความเสียหายได้เช่นกัน ผมเคยนั่งเล่นโน๊ตบุ๊คนอกบ้านในขณะที่ฝนตก เพราะความจำเป็นต้องใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งในบ้านไม่มีสัญญาณมือถือ ทำให้โดนละอองฝน เครื่องมีปัญหาเปิดไม่ติด เพราะความชื้น หลังจาก ถอดยากชิ้นส่วน แล้วฉีดตัวไล่ความชื้นทิ้งไว้สักพัก จึงใช้งานได้ หรือหาซื้อซองดูดความชื้นไว้ติดกระเป๋าก็ได้

ความชื้นนั้นอันตรายสำหรับอุปกรณ์อีเล็คทรอนิคหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าจริงๆ ให้สังเกตุว่า ในห้องของเรามีความชื้นสูงแค่ไหน ก็สังเกตุได้จากสายไฟหรือชิ้นส่วนที่เป็นยางหากมีคราบเหมือนเชื้อราติดอยู่ก็แสดงว่า ความชื้นค่อนข้างสูงต้องระวัง อาจจะหาตัวดูดความชื้นมาวาง น่าจะพอช่วยได้
ปัญหาที่อาจจะเจอบ่อยๆ ก็คือแรม เพราะความชื้นที่ไปเกาะที่ขาทองแดงของแรมที่เป็นตัวเชื่อมต่อกับบอร์ด ทำให้เครื่องอาจจะเปิดได้ แต่จอไม่ติด ไม่มีอะไรแสดงผลหน้าจอ ซึ่งแรมก็ไม่เสีย สาเหตุก็มาจากความชื้นนั่นเอง เครื่องที่ใช้งานอยู่นั้น เคยพบปัญหานี้ เสียเงินไปหลายพัน เพราะร้านบอกว่าแรมเสีย ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ แต่เพราะการใช้งานนอกสถานที่ เจอละอองฝน เจอความชื้นบ่อยๆ นั่นเอง ในกระเป๋าใส่โน๊ตบุ๊คจึงควรมีตัวดูดความชื้น จะช่วยป้องกันปัญหานี้ได้ ในระดับหนึ่ง
ปกป้องโน๊ตบุ๊คจากฝุ่น
นอกจากความชื้นแล้วก็ยังมีฝุ่นที่มีส่วนสร้างความเสียหายให้กับโน้ตบุ๊คได้เช่นกัน ซึ่งไม่เพียงแต่โน้ตบุ๊ค อุปกรณ์อีเล็คทรอนิคทุกชนิด ก็กลัวฝุ่นกันทั้งนั้น









การใช้งานระบบปฏิบัติการในเครื่อง 
สำหรับระบบปฏิบัติการในโน้ตบุ๊คตอนนี้ ที่นิยมใช้กันก็น่าจะเป็น Windows XP/7/8 และ Mac OS การใช้งานไม่ได้ต่างจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ สามารถหาหนังสือคู่มือมาศึกษาเองหรืออาจจะไปดูวิดีโอสอนการใช้งานใน Youtube ก็ได้

เฉลยแบบฝึกหัด

บทที่ 1 
1. 1 2 ประเภท
2. 3 พล๊อตเตอร์
3. 3 windows 7 ,windows 8
4. 3 windows xp
5. 4ถูกทุกข้อ
6. 1 เครื่องพิมพ์แบบดอทเมตริก
7. 1 LED
8. 2 Ms Excel
9. 4 User ware
10. 4 มีล้อหมุนตรงกลาง

บทที่ 2 
1. 3 Flash Drive
2. 2 ATX
3. 3 Micro ATX
4. 4 DVD Writer
5. 2 socket 775
6. 2 Duron
7. 2 socket 775
8. 4 DDR2
9. 4 AGP
10. 3 AGP

บทที่ 3
1. 4 ไขควง
2. 3 การ์ดเสียง
3. 1 40GB
4. 3 125 MB
5. 1 JIB
6. 3 ไม้บรรทัด
7. 1 ใช้ต่อกับ สวิตช์ปิด - เปิด
8. 4 ใช้แสดงการทำงานของเครื่อง
9. 4 ใช้แสดงการทำงานของเครื่อง
10. 3 ใช้รีเซ็ตเครื่อง

บทที่ 4
1. 1 ทำการตรวจสอบอุปกรณ์
2. 1 การตรวจสอบการทำงานของเครื่อง
3. 1 เปิดคู่มือของเมนบอร์ดแสดงการต่อสาย LED 
4. 4 ถูกทุกข้อ
5. 2 เปิดเครื่องไม่ได้
6. 4 ถูกทุกข้อ
7. 3 4
8. 2 10
9. 2 แรมเสีย
10. 2 ยังไม่ได้ทำการติดตั้งซีพียู

บทที่ 5
1. 4 DDRRAM
2. 1 Bios Setup
3. 4 Del
4. 3 Bi – Directional
5. 4 ถูกทุกข้อ
6. 4 ถูกทุกข้อ
7. 4 ถูกทุกข้อ
8. 3 FAT 32
9. 1 primary
10. 4 format C:


บทที่ 6
1. 2 operatin system
2. 2 Upgrade
3. 1 New Install
4.  3 cd rom
5. 3 ต้องสร้างพาร์ติชั้นใหม่ขึ้นมาก่อน
6. 2 FAT 32
7. 4 ถูกทุกข้อ
8. 1 device driver
9. 1 ต้องติดตั้งลงในไดร์ C เท่านั้น
10. 1 limited user

บทที่  7
1. 1 Microsoft office
2. 2 power dvd
3. 3 win amp
4. 4 win zip
5. 1 acd see
6. 3 acrobat reader
7. 1 ด้านการพิมพ์งานเอกสารต่างๆ
8. 2 ด้านการวาดภาพ
9. 3 ด้านงานเขียนแบบ
10. 4 ด้านการบีบอัดไฟล์

บทที่ 8
1. 1 utility
2. 1. โปรแกรมที่ใช้ช่วยในการปรับแต่งหรือแก้ปัญหาของเครื่อง
3. 2. ช่วยปรับแต่งพาร์ติชันของฮาร์ดดิสก์
4. 4. ใช้สำหรับการคัดลอกโปรแกรม
5. 3. Norton Ghost
6. 2. psrtition magic
7. 1. utility
8. 2. fdisk
9. 2. สามารถปรับขนาดของพาร์ติชั่นโดยไม่ต้องลบพาร์ติชั่น
10. 1. ใช้รายการ local - disk - to disk

บทที่ 9
1. 1. คีย์บอร์ด
2.  3. ปลั๊กไฟบ้านและจอภาพ
3. 3. แบบ DB15
4. 2. เชื่อมต่อระหว่างการ์ดแลนกับระบบเครือข่าย
5. 4. พอร์ต ขนาน
6. 2. แบบ DB12
7. 2. พอร์ต PS/2
8. 4. พอร์ตขนาน
9.  2. พอร์ต PS/2
10. 1. พอร์ต S-Vedio

บทที่ 10
1.  4. สมรรถนะสูงขึ้น
2.  1. พลาสติกเหนียว
3. 1. 2
4. 1. เชื่อมต่อโทรทัศน์
5.  1. จอภาพ
6. 2. ราคาแพง
7. 3. 15 วัตต์
8. 1. จอภาพ
9.  1. LED
10. 2. คอมพิวเตอร์แบบพบพา

บทที่ 11
1. 4. สินค้าด้านคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์ได้รับการจัดสรร เพื่อก่อให้เกิดความพึงพอใจต่อลูกค้า
2. 3. เพิ่มปริมาณธุรกิจที่ได้จากการคาดการณ์จากความน่าจะเป็น
3. 3. 4
4. 4. ถูกทุกข้อ
5. 3. การลงทุนในทรัพย์สินถาวร
6. 4. ถูกทุกข้อที่กล่าวมา
7. 3. บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
8. 1. แหล่งเงินทุนที่ทางราชการไม่สามารถควบคุมได้ อาศัยความสมัครใจระหว่างผู้กู้กับผู้ให้กู้โดยตกลงกันเอง
9. 1. บุคคลที่มีความคิดที่จะทำธุรกิจ และ เป็นผู้จัดตั้งองค์การธุรกิจขึ้นมา
10. 4. รับข้อเสนอ ข้อเรียกร้องต่างๆ จากลูกค้าไว้พิจารณา


วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557

บทที่ 11 แนวทางการประกอบธุรกิจ

บทที่ 11 แนวทางประกอบธุรกิจ

สาระสำคัญ
    ในบทนี้จะกล่าวถึงแนวทางการประกอบธุรกิจทางด้านคอมพิวเตอร์และด้านอื่น ๆ เช่น การวางแผนทางการตลาด การขาย แหล่งที่มาของเงินทุน คุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจ ปัญหาในการดำเนินการต่าง ๆ เป็นต้น

เรื่องที่จะศึกษา

- ความหมายของธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์
- แนวคิดทางการตลาด
- การวางแผนการตลาด
- แผนการขาย
- แหล่งที่มาของเงินทุน
- คุณสมบัติของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อม
- ปัญหาในการดำเนินธุรกิจขนาดย่อม
- การเลือกประกอบอาชีพอิสระ
- คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพอิสระ
- ปัญหาและข้อแนะนำในการประกอบธุรกิจ


จุดประสงค์การเรียนรู้

  1. บอกความหมายของธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ได้
  2. เขียนแนวคิดทางการตลาด
  3. การวางแผนการตลาดได้
  4. แผนการขายได้
  5. หาแหล่งที่มาของเงินทุนได้
  6. เขียนคุณสมบัติของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมได้
  7. เขียนปัญหาในการดำเนินธุรกิจขนาดย่อมได้
  8. เลือกประกอบอาชีพอิสระตามที่ตัวเองชอบได้
  9. เขียนคุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพอิสระได้
  10. เขียนปัญหาและข้อแนะนำในการประกอบธุรกิจได้
ความหมายของธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์

ธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ คือ กิจกรรมที่ดำเนินโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเพื่อก่อให้เกิดรายได้โดยมุ่งหวังกำไร ธุรกิจอาจเป็นการผลิต การติดตั้ง การเขียนโปรแกรม การออกแบบระบบ 

การจัดการ คือ กระบวนการที่ใช้บุคคลหรือทรัพยากรของหน่วยงานที่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน เพื่อผฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร ในการจัดการมักจะอาศัยทรัพยากรหลักประเภทวัสดุอุปกรณ์ คน เงิน และข่าวสารข้อมูล

การจัดการธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ หมายถึง กระบวนการดำเนินงานทางธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายขององค์กรจากการทำงานร่วมกัน โดยใช้บุคคล ได้แก่ วัสดุอุปกรณ์ คน เงิน และวิธีการซึ่งเริ่มจากการวางแผน การจัดองค์กร การบริหารงานบุคคลมาผสมผสานกัน เพื่อให้เกิดสินค้าและบริการที่สนองต่อความต้องการของลูกค้าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

แนวคิดทางการตลาด
หมายถึง การที่สินค้าด้านคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้รับการจัดสรรเพื่อก่อให้เกิดความพึงพอใจต่อลูกค้าด้วยวิธีการที่องค์กรธุรกิจกำหนด หรือวางแผนอันจะส่งผลให้ธุรกิจด้านคอมพิวเตอ์ประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย
องค์ประกอบของแนวคิดทางการตลาด
  1. ลูกค้า ผู้ประกอบธุรกิจต้องศึกษาความต้องการของลูกค้า และกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เป็นตัวกำหนดตลาด โดยวิธีการต่าง ๆ 
  2. ความสัมพันธ์ภายในระบบตลาด ได้แก่ การคมนาคมขนส่ง การสื่อสาร การโฆษณา ฯลฯ
  3. กำไร คือ เป้าหมายสำคัญที่จะทำให้เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจด้านคอมพิวเตอร์ และเพื่อความอยู่รอดของกิจการ 
การวางแผนการตลาด
เป็นกระบวนการที่สำคัญในการรวบรวมข้อมูลการตลาด เพื่อศึกษาถึงพฤติกรรมของลูกค้า ลักษณะของสินค้า กลุ่มผู้บริโภค และนำข้อมูลที่รวบรวมได้ไปใช้ประโยชน์วางแผนทางการตลาด โดยการวิเคราะห์โอกาสการตลาด และวิเคราะห์คู่แข่งขันให้ชัดเจน

แผนการขาย

การวางแผน (planning) เป็นภาระกิจขั้นแรกของทุกกระบวนการ เป็นนักขายก็ควรเขียนแผนการขายไว้ล่วงหน้าได้เหมือนกัน
ซึ่งหากแผนที่วางไว้เหมาะสมมีเหตุผลเป็นไปได้ การขายก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่นบรรลุวัตถุประสงค์ กระบวนการวางแผนมี 5 ขั้นตอน ได้แก่ การเตรียมการก่อนการวางแผน การวิเคราะห์ปัญหา การกำหนดแผนงานขาย การปฏิบัติตามแผน และการประเมิน
เมื่อตกลงจะมีการวางแผนงานแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องพิจารณาคือจัดหาข้อมูลมาให้ได้บริบูรณ์ ข้อมูลที่ต้องการคือรายละเอียดเกี่ยวกับปัจจัยทั้งหลาย และต้องเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือในกรณีขององค์การธุรกิจ การคาดคะเนการขาย (sales forecasting) เป็นข้อมูลพื้นฐานที่จะนำไปสู่การวางแผนขององค์การธุรกิจเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าธุรกิจอยู่ได้ด้วยการมีกำไร กำไรได้มาจากการจำหน่ายซึ่งสามารถจำหน่ายได้สูงกว่าต้นทุน ดังนั้นการจำหน่ายจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนธุรกิจ ถ้าธุรกิจคาดคะเนว่าจะจำหน่ายได้สูงกว่าปีที่แล้วมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ฝ่ายผลิต จะต้องปรับปรุงวางแผนการผลิตเพิ่มขึ้น ฝ่ายการเงิน จะต้องเตรียมจัดหาเงินมาลงทุนในการจัดซื้อและการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการผลิต ฝ่ายการตลาด จะต้องเตรียมผู้คนและวงเงินค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายซึ่งจะต้องเพิ่มขึ้นตามอัตราส่วนเพิ่มของสินค้าที่จะจำหน่าย เป็นต้น

แหล่งที่มาของเงินทุน

บ่อยครั้งที่คำว่า “ไม่มีเงิน” ถูกใช้เป็นข้ออ้างที่สกัดการเริ่มต้นทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เป็นต้นว่าไม่มีทุนบ้าง ไม่มีแหล่งทุนบ้าง และทำให้หลายคนเลือกพับเก็บความคิดที่จะเริ่มต้นธุรกิจเอาไว้ แต่ในความจริงแล้วธุรกิจหลายรูปแบบใช้เงินทุนในการเริ่มตั้งกิจการไม่มากเลย โดยจุดสำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจน่าจะอยู่ที่การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีและตรงความต้องการของลูกค้า มีแนวทางการบริหารและการตลาดที่แข็งแรงขึ้นมาให้ได้ก่อน หลังจากที่เริ่มมีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจนและมีจุดเด่นน่าสนใจแล้วการจะออกไปหาเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดให้ธุรกิจเติบโตต่อเนื่องก็น่าจะเป็นเรื่องง่ายขึ้นและการทำธุรกิจก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูงขึ้น
เมื่อผ่านจุดตั้งต้นธุรกิจมาได้แล้ว จึงถึงเวลาเริ่มมองหาทุนเพื่อขยายกิจการและเร่งการผลิตให้ทันต่อการแข่งขันในตลาด แต่ด้วยความที่ธุรกิจยังอยู่ในจุดเริ่มต้น ยังไม่เป็นที่รู้จัก จึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะระดมทุนด้วยการยื่นเสนอขายหุ้นในตลาด อย่างไรก็ดี ยังมีแหล่งทุนอื่นๆ ที่เข้าถึงได้และสามารถช่วยธุรกิจขนาดกลางและย่อมที่เพิ่มเริ่มต้นอยู่พอสมควร ตั้งแต่คนใกล้ตัวที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเราเช่นคุณพ่อคุณแม่ หรือแหล่งเงินทุนที่เป็นองค์กรอย่างธนาคารและนักลงทุน

ธนาคารพาณิชย์ถือเป็นแหล่งเงินทุนอันดับต้นๆ ที่เรามักนึกถึง เนื่องจากพบได้ทั่วไปและมีโปรโมชั่นออกมาเป็นจำนวนมาก แต่การขอสินเชื่อจากธนาคารก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียทีเดียว เพราะธนาคารก็จะต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือและโอกาสในการเติบโตของธุรกิจก่อนจึงจะอนุมัติให้สินเชื่อ โดยแผนส่วนใหญ่จะกำหนดคุณสมบัติของผู้กู้ต้องมีประสบการณ์ในด้านธุรกิจที่เกี่ยวข้องมาแล้ว 1-3 ปี ซึ่งน่าจะเป็นหลักประกันว่าผู้ประกอบการรู้จักธุรกิจนั้นๆ ดีในระดับหนึ่ง อีกทั้งหลายธนาคารก็มีข้อบังคับว่าผู้ประกอบการจะต้องนำเสนอแผนธุรกิจที่ชัดเจนและเป็นไปได้ก่อนการขออนุมัติสินเชื่อด้วย ดังนั้นการกู้ผ่านธนาคารอาจเหมาะกับเจ้าของกิจการที่ดำเนินงานมาสักระยะเกิน 1 ปีขึ้นไป ซึ่งจุดประสงค์ของการให้สินเชื่อก็เพื่อเพิ่มความคล่องตัวของเงินทุนหมุนเวียนและเพื่อการขยายตัวของกิจการ
เมื่อเราตัดสินใจจะกู้เงินจากธนาคารแล้ว เราต้องศึกษาในรายละเอียดว่าในแต่ละแผนกำหนดให้ต้องเตรียมนำเสนออะไรบ้าง อาทิ คนค้ำประกัน หรือเครื่องค้ำประกันอื่นๆ เช่น สิ่งปลูกสร้าง สัญญาเช่าอาคาร แผนพัฒนาธุรกิจ เป็นต้น และธนาคารส่วนใหญ่มักขอดูเอกสารสำคัญของบริษัท เช่น หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท เอกสารภาษี ซึ่งการเตรียมการให้พร้อมก็เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้ธนาคารอีกทางหนึ่ง

สิ่งที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุนในธุรกิจหนึ่ง
นอกเหนือจากบทบาทแหล่งเงินทุนสินเชื่อแล้ว ช่วงหลังๆ ธนาคารต่างๆ ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในการช่วยสนับสนุนช่วงเริ่มต้นและช่วงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมากขึ้น โดยธนาคารได้ผนวกบทบาทเป็นองค์กรให้องค์ความรู้ผู้ประกอบการ ประคับประคองให้กิจการเดินหน้าไปได้ รวมทั้งสร้างเครือข่ายธุรกิจ อย่างเช่นโครงการ K SME Care ของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งให้เจ้าของกิจการไม่ว่าจะเป็นลูกค้าของธนาคารหรือไม่สามารถเข้าร่วมโครงการเพื่อเข้าอบรม รวมทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองทางธุรกิจกับเครือข่ายผู้ประกอบการรายอื่นๆ ด้วย


โดยหลักๆ แล้วมีนักลงทุนอยู่ไม่กี่ประเภท ประเภทแรกคือนักลงทุนรายบุคคล หรือที่เรียกว่า angel investor และนักลงทุนระดับองค์กร venture capitals หรือที่เรียกกันบ่อยๆ ว่า VC ซึ่งที่จริงแล้วนักลงทุนทั้งสองประเภทนี้เป็นที่นิยมในบรรดาธุรกิจ startup ต่างประเทศเสียมาก และยังไม่ค่อยมีนักลงทุนประเภทนี้ในประเทศไทยมากนัก
สำหรับแหล่งทุนจากนักลงทุนจะมีวัตถุประสงค์การให้ทุนที่ต่างจากธนาคาร กล่าวคือธนาคารจะได้ประโยชน์จากการให้สินเชื่อโดยเก็บดอกเบี้ยจากผู้ขอสินเชื่อเป็นงวดๆ ไป ในขณะที่นักลงทุนจะมุ่งหวังการครอบครองหุ้นหรือกรรมสิทธิ์ในบริษัท นั่นหมายความว่าสิ่งที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุนในสักธุรกิจหนึ่งจึงต้องขึ้นอยู่กับการเติบโตและผลประกอบการของบริษัทเป็นหลัก ทำให้นักลงทุนมีอีกลักษณะที่แตกต่างจากธนาคาร คือมักจะเป็นผู้ให้ความรู้และแนวทางในการดำเนินธุรกิจ หรือบางรายอาจส่งคนจากทีมเข้ามาบริหารงานในธุรกิจ


angel investor สามารถเป็นใครก็ได้ ส่วนใหญ่มักเป็นนักลงทุนรายบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจในเรื่องต่างๆ แตกต่างกันไป นอกจากจะให้ทุนแล้ว angel investor ยังสามารถให้ความช่วยเหลือด้านอื่นๆ เช่นให้ความรู้ สอนประสบการณ์ที่เคยผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้นยังอาจช่วยแนะนำให้เราได้รู้จักบุคคลอื่นๆ ที่เป็นสามารถเป็นแหล่งทุนให้เราได้อีกด้วย
สำหรับนักลงทุนประเภทนี้เป็นนักลงทุนอิสระที่สามารถให้ทุนเราได้โดยทันที ไม่ต้องมีแบบแผนในการยื่นขอทุนมากมาย เนื่องจากเป็นการติดต่อกับตัวบุคคลโดยตรงและทุนที่ให้ก็มักเป็นเงินทุนส่วนตัว การตัดสินใจให้ทุนก็มักอาศัยความเชื่อมั่นระหว่างกันเสียมาก ขณะเดียวกัน angel investor ก็มักจะเน้นน้ำหนักให้ความสำคัญกับแนวคิดธุรกิจที่น่าสนใจมากกว่าที่จะเน้นเรื่องผลตอบแทนในการลงทุน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สนใจเรื่องผลตอบแทนเลย อันที่จริง angel investor ก็อาจขอผลตอบแทนเป็นสิทธิ์ในการถือหุ้น ส่วนเรื่องการบริหารงานในธุรกิจ angel investor มักจะไม่ค่อยเข้ามาก้าวก่ายการบริหารงานมากนัก มักจะปล่อยให้เจ้าของไอเดียเป็นคนบริหารให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้ แต่มักจะเข้ามามีบทบาทเป็นผู้ให้คำปรึกษาและคำแนะนำมากกว่า

VC เป็นนักลงทุนในรูปแบบองค์กร หรืออาจเรียกว่าเป็นองค์กรที่ประกอบขึ้นมาจากนักลงทุนหลายๆ คนรวมตัวกัน มีการรวมเงินลงทุนเป็นก้อนเดียวและบริหารจัดการว่าจะนำเงินลงทุนก้อนใหญ่นั้นไปแบ่งลงทุนกับธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างไรบ้าง จึงอาจกล่าวได้ว่า VC อาจพิจารณาให้เงินทุนในจำนวนที่สูงกว่า angel investor ส่วนใหญ่ และเหมาะสำหรับกิจการที่ต้องการเงินก้อนใหญ่

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ว่า VC ให้ความสำคัญเกี่ยวกับกำไร และธรรมชาติของกลุ่มที่ประกอบด้วยนักลงทุนหลายคน การตัดสินใจก่อนอนุมัติให้ทุนจึงใช้เวลาและความรอบคอบอย่างมาก เพื่อให้แน่ใจว่าหากให้ทุนไปแล้วจะไม่สูญเปล่าและได้ผลตอบแทนกลับมาเต็มที่ ดังนั้นการขอทุนจาก VC จึงต้องมีเตรียมตัวนำเสนอธุรกิจอย่างมีระบบแบบแผนที่ชัดเจนและน่าสนใจ ต้องเตรียมเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร และที่สำคัญที่สุดคือต้องสามารถอธิบายขั้นตอนและแบบแผนการทำธุรกิจได้อย่างสร้างสรรค์และมีหลักการ จนนักลงทุนกลุ่มนี้สามารถมองเห็นโอกาสที่ชัดเจน และตกลงปลงใจที่จะให้เงินเราในท้ายที่สุด
โดยหลักๆ VC จะมุ่งหวังกำไรจากการลงทุนอย่างมาก และมองข้ามขั้นไปจนถึงว่าสามารถขายต่อกิจการของเราเพื่อเก็งกำไรในตลาดหุ้นได้ ด้วยเหตุนี้ VC จึงมักส่งคนเข้ามาบริหารกิจการ เพื่อกำกับดูแลให้ธุรกิจของเราเติบโตได้ตามคาดหวัง รวมทั้งช่วยให้ความรู้และคำปรึกษาในเรื่องการบริหารธุรกิจด้วย สำหรับระดับการลงทุนของ VC มีตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นธุรกิจ ขั้นขยายกิจการ ระยะก่อนการเสนอขายหุ้นแก่สาธารณะชนเป็นครั้งแรก (IPO) หรือแม้แต่ระยะพลิกฟื้นธุรกิจ

แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะหาทุนด้วยการขอสินเชื่อธนาคารหรือขอทุนจากนักลงทุน หรือแม้แต่จากคนรู้จักที่มีความหวังดีต่อเราก็ตาม สิ่งที่เราควรทำคือต้องรักษามารยาทในการดำเนินการขอความช่วยเหลือ ตั้งแต่นำเสนอโครงการอย่างตั้งใจและมุ่งมั่น ยินดีตอบข้อซักถาม ต้องประเมินสถานการณ์อย่างเป็นกลางและรับฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูดอย่างตั้งใจเสมอ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมลงทุนมีส่วนแสดงความคิดเห็นด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานของความสำเร็จในการหาทุนและการทำธุรกิจด้วย
คุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อม

บุคคลที่มีความสนใจ  และเตรียมตัวเข้าสู่ธุรกิจขนาดย่อม  ต้องมีคุณสมบัติของนักธุรกิจที่ดี คือ
      1.  มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับงานอาชีพ  จากการศึกษาเล่าเรียนและการทำงานจะทำให้มีความรู้และประสบการณ์พื้นฐาน  สามารถนำมาประยุกต์กับธุรกิจของตนเองได้
      2.  มีความพร้อมที่จะทำงานหนัก  มีความอดทน
      3.  มีมนุษยสัมพันธ์ มีอัธยาศัยที่ดีกับบุคคลทั่วไป
      4.  สื่อสารกับบุคคลอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      5.  มีภาวะผู้นำ
      6.  มีความภาคภูมิใจในผลงาน
      7.  มีความรับผิดชอบ
      8.  กล้าเสี่ยงและกล้าตัดสินใจ
      สรุปคุณสมบัติของผู้ประกอบการที่ต้องการความสำเร็จ  คือ  มีความพร้อมด้านจิตใจ  ความรู้ความสามารถ มีมนุษยสัมพันธ์  ความสามารถในการติดต่อสื่อสาร  และความสามารถในการบริหารจัดการ

ปัญหาในการดำเนินธุรกิจขนาดย่อม

1.  ปัญหาด้านการจัดการ ผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อมส่วนใหญ่ขาดประสบการณ์และขาดทักษะในการจัดการ  เนื่องจากธุรกิจขนาดย่อมเป็นกิจการของตนเอง  จึงจำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถในทุก ๆ ด้าน  เช่น  ความเป็นผู้นำ  รู้จักการวางแผนที่ดี  การนำเสนอขายและให้บริการลูกค้า  เป็นต้น
     2.  ปัญหาด้านการเงิน การประกอบธุรกิจขนาดย่อม  ผู้ประกอบการ  คือ  เจ้าของกิจการการควบคุมด้านการเงินไม่มีมาตรการที่ดีพอ  ก่อให้เกิดการขาดแคลนเงินทุน  มีการรั่วไหลของการใช้จ่ายทำให้ธุรกิจขาดสภาพคล่องจึงทำให้ธุรกิจล้มเหลวได้ง่าย

การเลือกประกอบอาชีพอิสระ

          การประกอบอาชีพอิสระ คือ การประกอบกิจการส่วนตัวต่าง ๆ ในการผลิตสินค้าหรือบริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นธุรกิจของตนเองไม่ว่าธุรกิจนั้นจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม  ซึ่งผู้ประกอบการสามารถที่จะกำหนดรูปแบบและวิธีดำเนินงานของตัวเองได้ตามความเหมาะสม ไม่มีเงินเดือนหรือมีรายได้ที่แน่นอนตายตัว ผลตอบแทนคือเงินกำไรจากการลงทุนนั่นเอง

การประกอบอาชีพอิสระดีอย่างไร
          ปัจจุบัน แม้ว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น โครงการต่าง ๆ เกิดขึ้นหลายโครงการ ทำให้มีตำแหน่งงานว่างเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่สามารถรองรับกำลังแรงงานซึ่งเพิ่มขึ้นในแต่ละปีได้ อีกทั้งการเป็นลูกจ้าง ข้าราชการและพนักงานในหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ส่วนใหญ่ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติที่หน่วยงานนั้น ๆ ต้องการ เช่น คุณวุฒิทางการศึกษา ประสบการณ์หรือแรงงานที่มีทักษะ เป็นต้น คุณสมบัติเหล่านี้ได้กลายมาเป็นข้อจำกัดที่ปิดกั้นโอกาสของคนอีกหลายกลุ่มไม่ให้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ โดยเฉพาะภาครัฐได้กำหนดอัตราการเพิ่มของข้าราชการไว้เพียง 2% นั่นย่อมหมายถึงโอกาสในการเป็นข้าราชการน้อยมาก ดังนั้น
          การประกอบอาชีพอิสระจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ว่างงาน แรงงานที่กลับจากการทำงานต่างประเทศ เยาวชนที่เข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ กลุ่มคนด้อยโอกาสต่าง ๆ ควรจะหันมาสนใจประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งเป็นการประกอบอาชีพส่วนตัว บริหารด้วยตนเอง เป็นทั้งเจ้านายและลูกน้องในขณะเดียวกัน และการมีกำไรหรือขาดทุนขึ้นอยู่กับการบริหารของตนเอง นอกจากนี้ การประกอบอาชีพอิสระยังไม่มีข้อจำกัด ด้านคุณวุฒิการศึกษา หากแต่เป็นการเปิดโอกาสให้กับทุกคนสามารถประกอบอาชีพได้ตามความสามารถและความสนใจของตนเอง
ผลดีของการเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระคือ
          1. เป็นเจ้านายตนเอง สามารถใช้ความรู้ ความสามารถที่ตนเองถนัดได้อย่างเต็มที่
          2.กำหนดการทำงานเอง สามารถกำหนดรูปแบบและวิธีการดำเนินงานของตนเองได้ตามความเหมาะสมของธุรกิจ
         3. รับผิดชอบกิจการเองทั้งหมด
         4. ตัดสินใจเอง มีอิสระในการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อย่างเต็มที่ เพราะเป็นเจ้าของเงินทุน
         5.เป็นอิสระ ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร ไม่ต้องรับคำสั่งจากใคร จะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร เวลาใด สามารถกำหนดเองได้ทั้งสิ้น รวมทั้งความเป็นอิสระด้านความคิดสร้างสรรค์ได้อีกด้วย
         6. รายได้ไม่จำกัด ผลตอบแทนจากการดำเนินกิจการคือเงินกำไร
ซึ่งหากกิจการประสบผลสำเร็จ กำไรย่อมมากตามไปด้วย และถ้าธุรกิจนั้นมี
เจ้าของเพียงคนเดียว กำไรก็ไม่ต้องแบ่งกับใคร


คุณสมบัติของการเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ

           การเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระจำเป็นจะต้องมีคุณสมบัติต่างๆ เพื่อประกอบการเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระอย่างมีอิสระอย่างมีคุณภาพ ได้แก่
กล้าเสี่ยง (Taking risk) การประกอบอาชีพอิสระ แตกต่างจากการเป็นลูกจ้าง เนื่องจากต้องมีการลงทุน ในขณะที่เป็นลูกจ้างไม่ต้องลงทุนอะไร การลงทุนนั้นเป็นการเสี่ยงอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าสิ่งที่เราลงทุนนั้นจะได้กำไรหรือขาดทุน แต่ในความเสี่ยงนั้น ผู้ประกอบอาชีพอิสระจะต้องไตร่ตรองให้รอบคอบและมีเหตุผลก่อนที่จะลงทุน รวมทั้งมีจิตใจอยากเป็นผู้ชนะเสมอ
มีความคิดสร้างสรรค์ (Taking initiative) การประกอบอาชีพอิสระมิได้ยึดติดกับรูปแบบใด ๆ เนื่องจาก
ผู้ประกอบอาชีพอิสระต้องเป็นนายของตนเอง ดังนั้น ในการปรับปรุงสินค้าหรือบริการสามารถทำได้อย่างมีอิสระ เพื่อให้ได้มาซึ่งกำไรในการดำเนินธุรกิจ
มีความเชื่อมั่นในตนเอง ผู้ประกอบอาชีพอิสระ จะต้องเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง (Self - Confidence) ในการดำเนินกิจการของตนเอง จะรอให้ใครมาช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลาย่อมเป็นไปไม่ได
อดทน (Persistence and dealing with failure) การดำเนินธุรกิจของตนเองย่อมมีทั้งกำไรและขาดทุน โดยเฉพาะขั้นแรกจะต้องประสบปัญหาและอุปสรรคบ้าง ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา จะต้องเป็นผู้กล้ารับผิดและถูกในเวลาเดียวกัน และพร้อมที่จะยอมรับข้อผิดพลาด และแก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตัวเองเสมอ หากพร้อมที่จะต่อสู้ปัญหาเหล่านั้น จุดหมายที่ตั้งไว้ก็จะประสบผลสำเร็จในที่สุด
มีวินัยในตนเอง (Having discipline) การประสบความสำเร็จในอาชีพซึ่งเราเป็นเจ้าของกิจการเอง จำเป็นต้องมีวินัย มีกฎระเบียบ การทำงนต้องทำสม่ำเสมอ มิเช่นนั้นความสำเร็จในอาชีพอาจจะไม่ประสบผลสำเร็จเลย
มีทัศนคติที่ดีต่ออาชีพ (Good attitude) ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานที่มีเกียรติหรือไม่ ผู้ประกอบอาชีพอิสระจะต้องรักในงานที่ทำ และให้เกียรติกับงานนั้น ๆ เสมอ)
มีความรอบรู้ (Seeking information) การประกอบอาชีพอิสระ จะต้องรับรู้ข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ประโยชน์ของการรับรู้ข่าวสารจะทำให้สามารถปรับปรุงธุรกิจของตนเองให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ผลที่ได้คือกำไรนั่นเอง
มีมนุษย์สัมพันธ์ (Good human relationship) การประกอบอาชีพอิสระ จะต้องเป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์อันดี เพื่อผลประโยชน์ในธุรกิจของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า บุคคลรอบข้าง หรือคู่แข่งก็ตาม เพราะการมีมนุษย์สัมพันธ์อันดี จะทำให้มีความคล่องตัวในการดำเนินงานเป็นอย่างยิ่ง
มีความซื่อสัตย์ (Honesty with customer) ผู้ประกอบอาชีพอิสระ จะต้องมีความซื่อสัตย์และจริงใจต่อลูกค้า การบริการลูกค้าให้เกิดความประทับใจในการขายสินค้าหรือบริการและกลับมาใช้บริการอีกเป็นหัวใจสูงสุด เพื่อผลประโยชน์ต่อธุรกิจและต่อตัวเองในที่สุด